เมืองสิงห์ ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทลื้อ เพราะอยู่ใกล้สิบสองปันนา แต่เดิมเมืองสิงเป็นเมืองเดียวกับเมืองเชียงแขงในรัฐฉาน  แต่เมื่ออังกฤษและฝรั่งเศสเข้ามาล่าอาณานิคม ได้ตกลงแบ่งดินแดนกันโดยใช้แม่น้ำโขงเป็นแดน ฝั่งเชียงแขงจึงได้อยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษถูกรวมอยู่ในรัฐฉาน ส่วนฝั่งเมืองสิงอยู่ในการปกครองของฝรั่งเศสถูกรวมอยู่ในประเทศลาว

ในวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1901 เจ้าฟ้าสาลีหน่อได้ถึงแก่พิราลัยด้วยวัย 55 ปี ในปีเดียวกัน บุตรชายองค์โตชื่อ เจ้าอ่องคำ ได้ขึ้นเป็นเจ้าฟ้าเมืองสิงจากนั้น 2 ปี เจ้าอ่องคำได้รับตำแหน่งทหารจากรัฐบาลฝรั่งเศส การปกครองเมืองของเจ้าอ่องคำนั้นอยู่ภายใต้อาณัติของฝรั่งเศส ระบบการจัดเก็บภาษีและการปกครองล้วนใกล้เคียงกับหัวเมืองลาวที่อยู่ในบังคับของฝรั่งเศสทั้งหมด อย่างไรก็ตาม เมืองสิงคงความเป็นเอกราชได้จนกระทั่งถึงวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1916 ในที่สุดฝรั่งเศสได้ปลดเจ้าฟ้าและได้ยัดเยียดให้เป็นนักโทษการเมือง สาเหตุมาจากที่เจ้าฟ้าพยายามที่จะปลดแอกจากฝรั่งเศส โดยการขอความช่วยเหลือกลุ่มชาวจีนฮ่อที่เข้ามารุกรานหัวเมืองภาคเหนือของลาวในปีค.ศ. 1914 จนกระทั่งเจ้าฟ้าองค์สุดท้ายของเมืองสิงได้หลบหนีทิ้งบ้านเมืองไปพำนักยังสิบสองปันนา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเมืองสิงก็ได้ถูกฝรั่งเศสปกครอง จนกระทั่งเป็นส่วนหนึ่งของประเทศลาวโดยสมบูรณ์
 
ภาพประวัติศาสตร์แห่งเมืองสิงห์ เป็นภาพของเจ้าฟ้าเทพามนีคำ (โอรสเจ้าฟ้าสลีหน่อ เจ้าฟ้าไทลื้อเมืองสิง)**พระนามเดิมของท่านคือ เจ้าหม่อมเทพามนีคำ ขบวนเสด็จของท่านมีการจัดริ้วขบวนที่ใหญ่โต เช่นเมื่อเจ้าฟ้าสลีหน่อให้พระองค์เสด็จออกรับข้าหลวงฝรั่งเศสมีการบรรยายขบวนเสด็จอันอลังกาลว่า...


"ขบวนแห่เสนาอำมาตย์และข้าราชการแต่งตัวเป็นระเบียบเรียบร้อยและขี่ม้าเหมือนกัน มีกลองใหญ่ใช้สองคนหาม ฉิ่งฉาบมากหลายตีกันเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วเมืองสิทหารที่ร่วมขบวนแห่นั้นมีจำนวนมาก แปดคนถือธงเจ้าฟ้า เดินนำเป็นสองแถว มีธงสีแดง สีเขียว และสีปัง(ม่วงชมพู) อีกยี่สิบคนสะพายหนาดด้ามเงิน (ปืน) สองคนถือหอกแหลมสามง่าม อีกสองคนถือหอกปลายแหลมง่ามเดียว


นอกนั้นมีขุนหาญเจ้าฟ้าอีกแปดคนสะพายดาบด้ามทองคำ แปดคนสะพายดาบด้ามเงินและสี่คนสะพายดาบด้ามงา ยังมีช้างสองเชือกตกแต่งเต็มยศ หลังช้างมีแหย่งขลิบขอบทองเบาะนั่งสีแดงปักไหมทองคำล้อมรอบ ลูกตุ้มทองทำเป็นเส้นๆห้อยลงมา ทุกย่างก้าวของช้างมีทหารในคุ้มหอสองคนถือสัปทน (จ้องคำหลวง) เดินตาม"